ปัจจัยการตั้งครรภ์/การมีบุตรยาก/ขั้นตอนการรักษา
โดย พล.ต.นพ.ธีรศักดิ์
ธำรงธีระกุล
และทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
ภาวะเช่นใดจึงเรียกว่ามีบุตรยาก
คำว่ามีบุตรยาก ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาสมีบุตรได้
แต่หมายความว่ามีโอกาสมีบุตรน้อยกว่าปกติ หรือช้ากว่าปกติ เราพบว่าคู่สามีภรรยา
ทีมีเพศสัมพันธ์กันตามปกติ สัปดาห์ละอย่างน้อย
2-3
วัน โดยไม่ได้คุมกำเนิด จะมีการตั้งครรภ์ 50 %
ภายใน 5 เดือน และการตั้งครรภ์
เพิ่มขึ้นเป็น 80-90 % ในเวลา 1 ปี
ส่วนที่เหลือจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยลง และจัดอยู่ในกลุ่มภาวะมีบุตรยาก
สำหรับสตรีที่อายุมากกว่า 30-35
ปีขึ้นไปเราให้เวลาที่ 6
เดือนในการนิยามภาวะมีบุตรยากเพราะต้องรีบตรวจหาความผิดปกติและช่วยให้มีบุตรเร็วขึ้นเนื่องจากยิ่งอายุมากความสามารถมีบุตรยิ่งลดลง
ปัจจัยที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์
1. ฝ่ายชายต้องมีการสร้างเชื้ออสุจิเข้ามาในน้ำอสุจิได้ปกติ
ทั้งในแง่ของจำนวนของเชื้อการเคลื่อนไหว และรูปร่าง
เพื่อความสามารถในการปฏิสนธิกับไข่
2. ฝ่ายหญิงต้องมีการตกไข่ปกติ และมีท่อนำไข่ปกติ
ที่ให้ไข่เดินทางเข้าและผ่านไปและฝังตัวไนโพรงมดลูกที่ปกติได้
3. มีเพศสัมพันธ์ช่วงเวลาที่มี หรือใกล้มีการตกไข่
เนื่องจากไข่จะมีอายุเพียง 1 วัน
และตัวเชื้ออสุจิยู่ในมดลูกได้ประมาณ 2 วัน
การมีบุตรง่ายเหลือยาก เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง
คู่สามีภรรยาโดยทั่วไปมี 4 ปัจจัยใหญ่ ๆ
ที่จะทำให้มีการตั้งครรภ์เร็วหรือช้า คือ
1. อายุของภรรยา พบว่าสตรีอายุ 25 ปี
จะมีการตั้งครรภ์ได้ง่ายกว่า คือ ใน 100 คู่จะตั้งครรภ์ได้
50 คู่ ใน 5 เดือน 75
คู่ใน 10 เดือน และอายุที่มากขึ้น กว่า
25 ปี ทุก ๆ 5 ปี
จะต้องใช้เวลายาวขึ้นเกือบเท่าตัว
2. อายุของสามี คล้ายกับสตรี คือ สามีอายุ 25
ปี จะสามารถทำให้ภรรยาตั้งครรภ์ได้ 75%
ภายใน 1 ปี แต่จะอายุสามี 40
ปีขึ้นไป จะสามารถทำให้ภรรยาตั้งครรภ์ได้เพียง 25 %ภายใน
1
3. ความบ่อยของการมีเพศสัมพันธ์
อัตราการตั้งครรภ์เมื่อเปรียบเทียบความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ต่ออัตราการตั้งครรภ์ภายใน
6 เดือน ดังนี้คือ จำนวน1 ครั้ง/สัปดาห์
การตั้งครรภ์ภายใน 6 เดือน 25% , 2
ครั้ง/สัปดาห์ 33%, 3 ครั้ง/สัปดาห์
50% และ 4 ครั้ง/สัปดาห์ หรือมากกว่าได้
60%
4. ระยะเวลาของการพยายามมีบุตร
คู่สามีภรรยาที่พยายามมีบุตรโดยการมีเพศสัมพันธ์ที่ถี่และสม่ำเสมอ
พบว่าตั้งครรภ์ได้ 15% ในเดือนแรก, 50%
ใน 6 เดือน, 75% ใน
1 ปี, 90% ใน 2
ปี และมากกว่า 95% ใน 3
ปี
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการตั้งครรภ์
1.
สาเหตุจากฝ่ายชาย 30-40 %
- เชื้ออสุจิมีปริมาณน้อย
- เชื้ออสุจิไม่แข็งแรง เคลื่อนไหวไม่ดี
2. สาเหตุจากฝ่ายหญิง 30-40 %
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่สามารถตกไข่ได้
- ไม่มีมูกที่ปากมดลูกหรือมูกเหนียวข้นเกินไป
อสุจิไม่สามารถว่ายไปผสมกับไข่ได้
- ท่อนำไข่ตีบตัน
- ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- มีเนื้องอก พังผืดที่มดลูก เป็นอุปสรรคต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
3. สาเหตุจากทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกัน
และไม่ทราบสาเหตุ 10-20 %
4. ความยาวนานของความพยายามมีบุตร ( ยิ่งพยายามนานหลายปี
โอกาสตั้งครรภ์เองยิ่งน้อย )
ในคู่สมรสแต่ละคู่จะมีปัจจัยที่ผิดปกติทำให้มีบุตรยากและโอกาสในการตั้งครรภ์แตกต่างกัน
วิธีการรักษาก็แตกต่างกันไป
ดั้งนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่ถูกต้อง
ขั้นตอนการรักษา
1.
พบแพทย์
เพื่อปรึกษาให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายโดยละเอียด
ประวัติการเจ็บป่วยของครอบครัว ลักษณะการมีประจำเดือน การร่วมหลับนอนกับสามี
รวมทั้งการตรวจร่างกาย ตรวจภายในเพื่อดูว่าสุขภาพร่างกายของท่านปกติดีหรือไม่
2.
ตรวจเลือด
เพื่อดูสภาพการทำงานระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของร่างกาย
และการตรวจฮอร์โมนเพื่อตรวจสภาพการทำงานของรังไข่ และอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
3.
ตรวจเพิ่มเติม
การตรวจเพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยได้แก่ (อาจไม่ใช่ทำทุกอย่าง)การตรวจอัลตราซาวนด์อวัยวะสืบพันธุ์
การ
ตรวจเลือดดูฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับการตกไข่ การฉีดสีและ x-ray
ตรวจโพรงมดลูกและท้อนำไข่
การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูกและการส่องกล้องตรวจอุ้งเชิงกราน
4.
อธิบาย พร้อมคำแนะนำ คำปรึกษาถึงสาเหตุที่พบ
5.
รักษาตามสาเหตุที่พบ
ได้แก่ (อาจไม่ใช่ทำทุกอย่าง)การกระตุ้นการตกไข่
การแก้ไขฮอร์โมนผิดปกติ การตัด-ต่อท่อนำไข่ที่ตันโดย microsurgery
การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก ผ่าตัดแก้ไขมดลูกเจริญผิดรูป
ส่องกล้องผ่าตัดในโพรงมดลูก ผ่าตัดส่องกล้องในอุ้งเชิงกราน
ทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เลาะพังผืด ตกแต่งท่อรังไข่ผิดปกติ ตัด
cyst รังไข่ ตัดเนื้องอกมดลูก เนื้องอกรังไข่ ฯลฯ
6.
การตรวจในฝ่ายชายที่สำคัญ
มีอย่างเดียวคือ การตรวจความสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ
มักแนะนำให้ตรวจหลังจากว่างเว้นการหลับนอนกับภรรยา
2 7 วัน ถ้าพบว่าผิดปกติ ก็จะมีการรักษาขั้นตอนต่อไป
หลักการรักษาภาวะมีบุตรยาก เมื่อตรวจ/รักษาที่สาเหตุแล้ว
รักษาตามสาเหตุที่พบ หากทราบสาเหตุที่แน่ชัด
ความสำเร็จในการตั้งครรภ์จะมีเปอร์เซ็นต์สูงแล้วมีขั้นตอนต่าง ๆ คือ
1.
การรักษาโดยอาศัยกลไกของธรรมชาติ
นับระยะวันไข่ตก
กำหนดวันมีเพศสัมพันธ์
โดยมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยขึ้นในวันที่ฝ่ายหญิงมีการตกไข่ การกำหนดวันตกไข่ทำได้โดย
- มีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ (สัปดาห์ละ
3-4 วัน)
- กะประมาณด้วยตัวเองวันที่ 14-15
ของรอบประจำเดือน สำหรับผู้ที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุก 27-29
วัน
-
ตรวจการตกไข่ด้วยตัวเอง
โดยใช้เครื่องมือตรวจการตกไข่จากปัสสาวะแล้วมีเพศสัมพันธ์กัน
- ให้แพทย์ตรวจโดยการทำ อัลตร้าซาวนด์
และ/หรือการตรวจฮอร์โมนจากการเจาะเลือด หาช่วงเวลาของการตกไข่
2.
การรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
เมื่อวิธีแรกไม่ได้ผล มีวิธีรักษาต่างๆได้หลายวิธี
ดังนี้คือ
2.1
การฉีดเชื้ออสุจิ
( Intra Uterine Insemination
หรือ
IUI )
คือ
วิธีการคัดเชื้ออสุจิที่แข็งแรง สมบูรณ์
ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกในวันที่ไข่ตก ผ่านทางท่อเล็กๆ
เป็นการเพิ่มโอกาสให้อสุจิพบกับไข่มากขึ้น
ความสำเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งมากกว่าวิธีธรรมชาติ 2-3
เท่า ในกรณีที่
- มีเชื้ออสุจิไม่แข็งแรง หรือมีปริมาณน้อย
- ไม่มีมูกที่ปากมดลูก หรือมูกเหนียวข้น
- ใช้วิธีธรรมชาติไม่ได้ผล
2.2
การทำเด็กหลอดแก้ว
( InVitro Fertilization and Embryo Retransfer
หรือ IVF& ET )
วิธีเก็บเซลล์สืบพันธ์ทั้งไข่และอสุจิ
มาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายจนแบ่งเซลล์เป็นตัวอ่อน
และทำการเลี้ยงตัวอ่อนภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในห้องปฏิบัติการจนถึงระยะ
4-8 cell หรือเป็น
blastocyst
แล้วจึงใส่กลับเข้าสู่โพรงมดลูก
ความสำเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งประมาณ 20-50 %
แล้วแต่สภาพสาเหตุและการเลี้ยงตัวอ่อน รักษาในกรณีที่
- ท่อนำไข่อุดตันทั้ง 2 ข้าง
-
มีพังผืดในอุ้งเชิงกราน
( Endometriosis)
- เชื้ออสุจิไม่แข็งแรง
2.3
การทำอิ๊กซี่
( IntraCytoplasmic Sperm Injection
หรือ ICSI )
วิธีการคัดเชื้ออสุจิที่แข็งแรง สมบูรณ์เพียงตัวเดียว
ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จะใช้ในกรณีที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ได้ผล
ความสำเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งประมาณ 25-30 %
รักษาในกรณีที่
- เชื้ออสุจิผิดปกติอย่างมาก
- รังไข่ผิดปกติ ไม่มีการตกไข่
- ไข่และอสุจิไม่สามารถปฏิสนธิกันเองได้
2.4
การทำกิฟท์
( Gamete IntraFollopain Transfer
หรือ GIFT )
วิธีเก็บเซลล์สืบพันธ์ทั้งไข่และอสุจิ มาผสมกัน
แล้วใส่กลับเข้าสู่ท่อนำไข่ทันที
อาศัยให้อสุจิและไข่ปฏิสนธิกันเองตามธรรมชาติในท่อนำไข่
การทำวิธีนี้ต้องเจาะท้องส่องกล้อง ความสำเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งประมาณ
30-40 % รักษาในกรณีที่
-
เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่
มีพังผืด
-
มีท่อนำไข่ที่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง
- เชื้ออสุจิอ่อนแอไม่มากนัก
- รายที่ไม่ทราบสาเหตุ
2.5
การทำซิฟท์
( Zygote IntraFollopain Transfer
หรือ
ZIFT )
วิธีเก็บเซลล์สืบพันธ์ทั้งไข่และอสุจิ
มาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายก่อน แล้วจึงนำตัวอ่อนในระยะ Zygote
ใส่กลับเข้าไปในท่อนำไข่
การทำวิธีนี้ต้องเจาะท้องส่องกล้องเช่นเดียวกับทำ GIFT
ความสำเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งประมาณ 20-30 %
รักษาในกรณีที่
- เชื้ออสุจิน้อยกว่าปกติ
- ท่อนำไข่ทำงานไม่ปกติแต่ไม่ตัน
- มีพังผืดมาก
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- รายที่ไม่ทราบสาเหตุ
2.6
การแช่แข็งตัวอ่อน
ในกรณีย์ที่มีการปฏิสนธิและการแบ่งตัวของตัวอ่อนมากกว่าที่จะใส่เข้าไปในโพรงมดลูกในคราวเดียวเราจะแช่แข็งตัวอ่อนเพื่อนำมาใส่ได้อีกเพื่อเพิ่มความสำเร็จ
ลดค่าใช้จ่าย และลดภาวะแทรกซ้อนจากการกระตุ้นไข่และเจาะไข่แต่ละครั้ง
*
การทำกิฟท์และซิฟท์จะต้องทำการผ่าตัดส่องกล้องช่องท้องเพื่อนำไข่และอสุจิหรือตัวอ่อนใส่เข้าไปในท่อนำไข่
นิยมทำในสมัยก่อนที่ห้องปฏิบัติการเลี้ยงตัวอ่อนยังไม่สมบูรณ์
สมัยนี้นิยมทำ
IVF และ
ICSI
เพราะไม่ต้องผ่าตัดส่องกล้องช่องท้อง